
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โชว์ฟอร์มโหดบุกถล่ม วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส คาถิ่นโมลินิวซ์ สเตเดี้ยม 4-1 ขยับขึ้นมารั้งอันดับ 6 ของตารางพรีเมียร์ลีก มีแต้มเท่ากับ เชลซี ทีมอันดับ 5 แต่ประตูได้เสียเป็นรองอยู่ 6 ลูก แม้เกมนี้จะชนะขาดลอย แต่หากหวังจะไปลุย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ทัพ "ปีศาจแดง" ยังคงต้องยกระดับทั้งเกมรุกและเกมรับให้ดียิ่งขึ้น เพราะชัยชนะนัดนี้ส่วนหนึ่งมาจากความผิดพลาดของเจ้าถิ่นเองด้วย

เกมนี้ รูเบน อโมริม กุนซือแมนฯ ยูไนเต็ด ปรับทัพในแนวรุก โดยดร็อป โจชัว เซิร์กเซ่ เป็นตัวสำรอง และส่ง มาเธอุส คุนญ่า ลงยืนเป็นหน้าเป้าดวลกับทีมเก่า ประสานงานร่วมกับ เมสัน เมาท์ และ ไบรอัน เอ็มเบวโม่ ส่วน อาหมัด ดิยัลโล่ ถอยไปยืนวิงแบ็กขวา และ นุสแซร์ มาซราอุย ขยับมายืนเซนเตอร์แบ็กแทน เลนี่ โยโร่
ครึ่งแรก: โอกาสเพียบและความผิดพลาด แมนฯ ยูไนเต็ด สร้างโอกาสได้มากมายตั้งแต่เริ่มเกมและควรจะปิดเกมได้เร็ว นาทีที่ 8 ดิโอโก้ ดาโลต์ วิ่งทำทางสวยหลุดเดี่ยวเข้าไปยิง แต่ติดเซฟของ แซม จอห์นสโตน นายทวารวูล์ฟส์ซึ่งเป็นเด็กเก่าผีแดง

แฟนบอลวูล์ฟส์ประท้วงเจ้าของสโมสรด้วยการเข้าสนามช้าไป 15 นาที แต่พอเข้ามานั่งได้ไม่นานก็ต้องเห็นทีมรัก "แจกโชค" เสียประตู จากจังหวะที่ อังเดร กองกลางเจ้าถิ่นครองบอลประมาทจนโดน กาเซมิโร่ จิ้มบอลได้ นำไปสู่การสวนกลับเร็ว คุนญ่า ได้บอลหลุดเดี่ยวแต่เลือกจ่ายยัดเข้ากลางให้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส บอลย้อนหลังเล็กน้อยทำให้ บรูโน่ ต้องม้วนตัวยิงแบบทุลักทุเล แต่บอลลอดขาผู้รักษาประตูเข้าประตูไป แมนฯ ยูไนเต็ด นำ 1-0 ท่ามกลางเสียงเพลงขับไล่จากแฟนเจ้าถิ่นที่ตะโกนใส่ทีมตัวเองว่า "พวกนายไม่สมควรใส่เสื้อตัวนี้!"

หลังจากนั้น "ปีศาจแดง" มีโอกาสบวกสกอร์เพิ่มหลายครั้ง ทั้งจาก เอ็มเบวโม่, คุนญ่า และ อาหมัด แต่ก็ยังไม่เฉียบคมพอ รวมถึงจังหวะที่ อาหมัด ยิงไปโดนแขนกองหลังวูล์ฟส์ แต่ผู้ตัดสินปฏิเสธการให้จุดโทษ
อย่างไรก็ตาม แมนฯ ยูไนเต็ด ก็คือ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่มักจะไม่ชนะง่ายๆ แม้วูล์ฟส์จะยิงใครไม่ได้มา 5 นัดติด แต่เกมรับทีมเยือนก็หละหลวมจนโดนตีเสมอในช่วงทดเจ็บครึ่งแรก จากจังหวะที่ วูล์ฟส์ เจาะทางริมเส้นและตบกลับมาให้ ฌอง-ริกเนอร์ แบลการ์ด ชาร์จเข้าไป จบครึ่งแรกเสมอ 1-1 นับเป็นประตูแรกของวูล์ฟส์ในรอบ 539 นาที

ครึ่งหลัง: แก้เกมและระเบิดฟอร์ม สถิติระบุว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ทำแต้มหล่นจากสถานการณ์ที่นำคู่แข่งไปแล้วถึง 8 คะแนนในฤดูกาลนี้ ก่อนเริ่มครึ่งหลังขุนพลปีศาจแดงจึงมีการรวมพลังคุยแผนกัน ซึ่งดูเหมือนจะได้ผล เมื่อเริ่มครึ่งหลังมาได้เพียง 6 นาที คุนญ่า แทงบอลจากแดนหลังให้ ดาโลต์ หลุดไปจ่ายถวายพานให้ เอ็มเบวโม่ ยิงโล่งๆ เข้าไป แมนฯ ยูไนเต็ด นำอีกครั้ง 2-1

วูล์ฟส์ ฤดูกาลนี้อาการหนักจนแทบจะจองตั๋วไปเล่นเดอะ แชมเปี้ยนชิพ ปีหน้า ความพ่ายแพ้นัดนี้ทำให้ลูกทีมของ ร็อบ เอ็ดเวิร์ดส์ แพ้รวดเป็นนัดที่ 8 โดยแฟนบอลทำได้แค่ส่งเสียงโห่ใส่ คุนญ่า อดีตขวัญใจที่ย้ายออกไป

เกมขาดในนาทีที่ 62 จากลูกจ่ายข้ามหัวสุดสวยของ บรูโน่ ให้ เมสัน เมาท์ หลุดกับดักล้ำหน้าเข้าไปซัดเต็มข้อตุงตาข่าย แมนฯ ยูไนเต็ด นำห่าง 3-1 นับเป็นการนำห่างคู่แข่ง 2 ประตูในเกมเยือนครั้งแรกตั้งแต่เดือนมีนาคม โดยสามประสาน "MCM" (เอ็มเบวโม่, คุนญ่า, เมาท์) ที่ลงตัวจริงพร้อมกันเป็นนัดที่ 5 โชว์ฟอร์มได้อย่างไหลลื่น

แอสซิสต์ของ บรูโน่ ในลูกนี้ ทำให้เขาทำสถิติแอสซิสต์ในเกมเยือนพรีเมียร์ลีก 5 นัดติดต่อกัน เทียบเท่าตำนานอย่าง เชส ฟาเบรกาส และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์
ช่วงท้ายเกม ค็อบบี้ ไมนู ดาวรุ่งลูกหม้อถูกส่งลงสนามเรียกเสียงเฮจากแฟนบอลทีมเยือน ก่อนที่วูล์ฟส์จะมาเสียจุดโทษจากการทำแฮนด์บอลของ เยอร์สัน มอสเกร่า และเป็น บรูโน่ รับหน้าที่สังหารไม่พลาด จบเกม แมนฯ ยูไนเต็ด บุกชนะ 4-1

บทสรุปและก้าวต่อไป บรูโน่ จบเกมด้วยผลงานยิง 2 จ่าย 1 มีส่วนร่วมกับประตูในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ไปแล้ว 10 ลูก (4 ประตู 6 แอสซิสต์) และทำสถิติมีส่วนร่วมกับประตูถึงเลขสองหลักเป็นฤดูกาลที่ 7 ติดต่อกัน
ชัยชนะ 4-1 ถือเป็นสกอร์ที่ขาดลอยที่สุดในฤดูกาลนี้ และทำให้ทีมไม่แพ้ใครมา 9 นัดติดต่อกัน แม้รูปเกมจะยังมีจุดที่ต้องแก้ไข แต่ผลงานในครึ่งหลังก็ช่วยกู้หน้า อโมริม ต่อหน้า เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ เจ้าของร่วม และ ลุค ลิตต์เลอร์ แชมป์ปาเป้าโลกที่เป็นแฟนผีตัวยง

หลังจบเกม อโมริม ให้สัมภาษณ์ว่า: "เรายิงได้ 4 ประตู แต่จริงๆ เรามีโอกาสมากกว่านั้น เรายังไม่เฉียบคมพอในการเปลี่ยนโอกาสเป็นสกอร์ แต่แน่นอนว่าฟอร์มการเล่นพัฒนาขึ้นมากเมื่อเทียบกับฤดูกาลก่อน เราสร้างโอกาสได้เยอะ ยิงได้เยอะ และอันตรายขึ้น ผมพอใจมากครับ"

แมนฯ ยูไนเต็ด จะต้องเจอกับโปรแกรมหนักในสัปดาห์หน้า รวมถึงผลกระทบจากถ้วย แอฟริกัน เนชั่นส์ คัพ โดยอีก 21 วันข้างหน้าพวกเขาจะต้องเปิดบ้านรับมือ วูล์ฟแฮมป์ตัน อีกครั้ง นอกจากนี้ ยังมีการจับสลาก เอฟเอ คัพ รอบ 3 ซึ่ง "ปีศาจแดง" งานไม่เบา เมื่อต้องเปิดโอลด์ แทรฟฟอร์ด รับการมาเยือนของ ไบรท์ตัน ในวันที่ 8 มกราคม ปีหน้า